Logo-1400x554-1.png

ต่างกันแค่ไหน? ฟิล์มกรองแสงสำหรับ ‘บ้าน’ vs ‘รถยนต์’ ใช้แทนกันได้หรือไม่

ต่างกันแค่ไหน ฟิล์มกรองแสงสำหรับ 'บ้าน' vs 'รถยนต์' ใช้แทนกันได้หรือไม่

สารบัญเนื้อหา...

เมื่อพูดถึงฟิล์มกรองแสง หลายคนมักนึกถึงการติดฟิล์มเพื่อลดความร้อนในรถยนต์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฟิล์มกรองแสงสำหรับบ้านและอาคารก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

โดยเฉพาะในประเทศที่มีอากาศร้อนอย่างประเทศไทย การติดตั้งฟิล์มกรองแสงจึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมทั้งสำหรับบ้านและรถยนต์ แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่าฟิล์มทั้งสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร และสามารถนำมาใช้แทนกันได้หรือไม่?

ฟิล์มกรองแสงสำหรับบ้านและอาคาร เน้นกันความร้อนและรักษาทัศนวิสัย

ฟิล์มกรองแสงสำหรับบ้านและอาคาร เน้นกันความร้อนและรักษาทัศนวิสัย

ฟิล์มกรองแสงที่ออกแบบมาเพื่อบ้าน อาคาร หรือคอนโดมิเนียม มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดปริมาณความร้อนจากแสงแดดที่ส่องผ่านเข้ามาทางกระจก ซึ่งจะช่วยให้บ้านเย็นสบายขึ้นและประหยัดค่าไฟฟ้าจากเครื่องปรับอากาศได้

คุณสมบัติเด่นของฟิล์มสำหรับบ้าน

คุณสมบัติเด่นของฟิล์มสำหรับบ้าน
  • การลดความร้อนสูง : ฟิล์มสำหรับอาคารถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันความร้อนและรังสียูวีโดยเฉพาะ บางรุ่นสามารถลดความร้อนได้ถึง 80% และช่วยให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็นลง 2-6 องศาเซลเซียส
  • ความทนทานสูง : เนื่องจากกระจกอาคารต้องรับแสงแดดตลอดทั้งวัน ฟิล์มจึงถูกผลิตให้มีความทนทานต่อสภาพอากาศสูง มีการรับประกันคุณภาพยาวนานถึง 7-10 ปี
  • รักษาทัศนวิสัย : ฟิล์มบ้านที่ดีจะเน้นการลดความร้อนโดยไม่ทำให้ทัศนวิสัยมืดจนเกินไป ทำให้ยังสามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้อย่างชัดเจน
  • ไม่มีข้อจำกัดด้านความเข้ม : เจ้าของบ้านสามารถเลือกความเข้มของฟิล์มได้ตามความต้องการ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อกฎหมาย
  • หลากหลายประเภท : มีฟิล์มให้เลือกหลายชนิด เช่น ฟิล์มนาโนเซรามิก ฟิล์มคาร์บอน หรือฟิล์มโลหะ ซึ่งแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติในการลดความร้อนและป้องกันรังสียูวีแตกต่างกันไป

ฟิล์มกรองแสงสำหรับรถยนต์ เน้นความปลอดภัยและกฎหมาย

ฟิล์มกรองแสงสำหรับรถยนต์ เน้นความปลอดภัยและกฎหมาย

ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ก็มีเป้าหมายเพื่อลดความร้อนและป้องกันรังสียูวีเช่นกัน แต่มีปัจจัยเพิ่มเติมที่ต้องคำนึงถึง ซึ่งแตกต่างจากฟิล์มสำหรับบ้านอย่างชัดเจน

คุณสมบัติเด่นของฟิล์มสำหรับรถยนต์

  • ข้อจำกัดทางกฎหมาย: การติดฟิล์มรถยนต์ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยฟิล์มจะต้องมีความใสเพียงพอ ไม่บดบังทัศนวิสัยของผู้ขับขี่เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน
  • ความยืดหยุ่นสูง: ฟิล์มรถยนต์ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นและสามารถหดตัวได้ดี เพื่อให้สามารถติดตั้งบนกระจกที่มีความโค้งมนของรถยนต์ได้อย่างแนบสนิท
  • ไม่รบกวนสัญญาณดิจิทัล: ฟิล์มรถยนต์รุ่นใหม่ๆ มักเป็นฟิล์มประเภทเซรามิกที่ไม่ผสมโลหะ เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนสัญญาณ GPS, Easy Pass หรือสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นปัญหาที่อาจพบได้ในฟิล์มโลหะบางประเภท
  • เพิ่มความปลอดภัย: ฟิล์มบางชนิดช่วยยึดเกาะเศษกระจกไม่ให้แตกกระจายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

ใช้แทนกันได้หรือไม่ ?

ฟิล์มกรองแสงใช้แทนกันได้หรือไม่

จากความแตกต่างข้างต้น คำตอบที่ชัดเจนคือ “ไม่ควรใช้แทนกัน” ด้วยเหตุผลดังนี้

  1. การติดตั้ง : ฟิล์มสำหรับบ้านถูกออกแบบมาสำหรับกระจกบานเรียบและมีขนาดใหญ่ การนำไปติดบนกระจกรถยนต์ที่มีความโค้งจะทำได้ยากมาก ไม่สวยงาม และอาจเกิดฟองอากาศได้ง่าย ในทางกลับกัน ฟิล์มรถยนต์มีขนาดเล็กกว่า อาจไม่พอดีกับกระจกบ้านบานใหญ่ และมีราคาต่อตารางเมตรที่สูงกว่า
  2. คุณสมบัติและโครงสร้าง : โครงสร้างของฟิล์มทั้งสองชนิดถูกผลิตมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน ฟิล์มบ้านเน้นการกันความร้อนสูงสุดและความทนทานในระยะยาว ส่วนฟิล์มรถยนต์เน้นความยืดหยุ่นและการปฏิบัติตามข้อกฎหมายด้านความปลอดภัย
  3. ความสวยงามและมุมมอง : ฟิล์มรถยนต์ที่มืดมากๆ อาจทำให้บรรยากาศในบ้านมืดทึบ ไม่น่าอยู่ ในขณะที่ฟิล์มบ้านที่ใสกว่าอาจไม่ให้ความเป็นส่วนตัวในรถยนต์เท่าที่ต้องการ

สรุป

การเลือกใช้ฟิล์มกรองแสงให้ถูกประเภทกับการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ฟิล์มสำหรับบ้านและอาคารถูกออกแบบมาเพื่อลดความร้อน รักษาทัศนวิสัย และมีความทนทานสูงสำหรับการติดตั้งบนกระจกบานเรียบ ในขณะที่ฟิล์มสำหรับรถยนต์ถูกสร้างมาให้ยืดหยุ่นสำหรับกระจกโค้ง และต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่

ดังนั้นเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดและใช้งานได้อย่างยาวนาน ควรเลือกใช้ฟิล์มที่ผลิตมาเพื่อ “บ้าน” และ “รถยนต์” โดยเฉพาะ