Logo-1400x554-1.png

5 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับฟิล์มกรองแสง ที่ผู้ใช้งานควรรู้เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง

5_ความเชื่อผิดๆ_เกี่ยวกับฟิล์มกรองแสง_ที่ผู้ใช้งานควรรู้เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง[1]

สารบัญเนื้อหา...

ฟิล์มกรองแสงได้กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับการลดความร้อนและประหยัดพลังงานในบ้าน อาคาร และคอนโด แต่หลายคนยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับฟิล์มชนิดนี้อยู่มาก ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อและติดตั้ง ทีมงาน SB Sticker จึงขอรวบรวม 5 ความเชื่อผิดๆ ที่พบบ่อยมาอธิบายให้ท่านเข้าใจอย่างถูกต้อง

ความเชื่อผิดข้อที่ 1. ฟิล์มยิ่งเข้ม ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ยิ่งสูง

นี่คือความเข้าใจผิดที่พบได้บ่อยที่สุด คนไทยส่วนใหญ่คิดว่าฟิล์ม 80 จะเข้มกว่าฟิล์ม 40 แต่ความจริงแล้วกลับกัน ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ที่แสดงบนฟิล์มคือค่า VLT (Visible Light Transmission) หรือค่าการส่องผ่านของแสงที่มองเห็น ซึ่งหมายความว่า:

  • ฟิล์ม 80% = ให้แสงผ่านได้ 80% (สีใส)
  • ฟิล์ม 40% = ให้แสงผ่านได้ 40% (สีเข้ม)

ดังนั้นฟิล์มที่มีตัวเลขสูงจะมีความโปร่งใสมากกว่า ไม่ใช่เข้มกว่าตามที่หลายคนเข้าใจ การเลือกความเข้มของฟิล์มควรพิจารณาจากทิศทางของแสง ความต้องการความเป็นส่วนตัว และความสะดวกในการใช้งานจริง

ความเชื่อผิดข้อที่ 2. ฟิล์มกรองแสงทุกชนิดกันความร้อนได้เท่ากัน

หลายคนเชื่อว่าฟิล์มกรองแสงทุกชนิดมีประสิทธิภาพในการกันความร้อนเท่ากัน ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะฟิล์มแต่ละประเภทมีเทคโนโลยีและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน

  • ฟิล์มดำ (Dyed Film) เป็นฟิล์มที่มีราคาประหยัดที่สุด แต่ให้ประสิทธิภาพในการกันความร้อนน้อยที่สุด เพราะทำงานโดยการดูดซับแสง
  • ฟิล์มคาร์บอน (Carbon Film) กันความร้อนดีกว่าฟิล์มดำ ไม่รบกวนสัญญาณโทรศัพท์หรือวิทยุ และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า
  • ฟิล์มเซรามิค (Ceramic Film) ใช้เทคโนโลยีนาโนเซรามิคที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการกันรังสีอินฟราเรด ลดความร้อนได้ถึง 60-80% และกันรังสี UV ได้มากกว่า 99% โดยที่ไม่ต้องเข้มมากก็สามารถกันความร้อนได้ดี
  • ฟิล์มปรอท/ละอองโลหะ (Metallized Film) สะท้อนความร้อนได้ดี แต่อาจรบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์

ทีมงาน SB Sticker แนะนำให้พิจารณาค่า IRR (Infrared Rejection) และค่า TSER (Total Solar Energy Rejected) ประกอบการเลือกฟิล์ม เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด

ความเชื่อผิดข้อที่ 3. ติดฟิล์มกรองแสงแล้วห้องจะมืด

ความเข้าใจผิดนี้ทำให้หลายคนลังเลที่จะติดฟิล์มกรองแสง โดยเฉพาะสำหรับห้องที่มีแสงธรรมชาติไม่มาก ความจริงแล้ว ฟิล์มกรองแสงสมัยใหม่โดยเฉพาะฟิล์มเซรามิคและฟิล์มที่ใช้เทคโนโลยี Nano Ceramic สามารถกันความร้อนได้ดีเยี่ยมโดยที่ไม่ต้องเข้มมาก

ตัวอย่างเช่น ฟิล์มนาโนเซรามิค 70 หรือ 80 สามารถกันความร้อนได้ถึง 70-80% แต่ยังให้แสงสว่างผ่านเข้ามาในห้องได้อย่างเพียงพอ ไม่ทำให้รู้สึกมืดหรืออึดอัด กุญแจสำคัญคือการเลือกฟิล์มที่มีค่า VLT สูง (60-80%) แต่มีค่า IRR หรือ TSER สูง ซึ่งจะช่วยให้ได้ทั้งความสว่างและความเย็น

นอกจากนี้ ฟิล์มบางชนิดยังมีการออกแบบให้ส่งผ่านแสงธรรมชาติได้ดี แต่สะท้อนรังสีอินฟราเรดที่เป็นสาเหตุของความร้อน ทำให้ห้องสว่างแต่เย็นสบาย

ความเชื่อผิดข้อที่ 4. ฟิล์มกรองแสงใช้ได้แค่ 2-3 ปีก็ต้องเปลี่ยนใหม่

หลายคนคิดว่าฟิล์มกรองแสงมีอายุการใช้งานสั้น ต้องเปลี่ยนบ่อยซึ่งไม่คุ้มค่ากับการลงทุน แต่ความจริงแล้วฟิล์มคุณภาพดีสามารถใช้งานได้นานมาก อายุการใช้งานของฟิล์มขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง

  • คุณภาพของฟิล์ม: ฟิล์มที่นำเข้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะจาก USA มักมีคุณภาพดีกว่าและทนทานกว่าฟิล์มราคาถูกทั่วไป ฟิล์มคุณภาพสูงสามารถใช้งานได้ 7-10 ปีหรือมากกว่า
  • การติดตั้งโดยช่างมืออาชีพ: ช่างที่มีประสบการณ์จะติดฟิล์มอย่างถูกต้อง ไม่มีฟองอากาศหรือริ้วรอย ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของฟิล์ม
  • การดูแลรักษา: การทำความสะอาดที่ถูกวิธีและหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรงจะช่วยให้ฟิล์มคงสภาพได้นานขึ้น
  • การรับประกัน: ฟิล์มคุณภาพดีจะมีการรับประกันจากผู้ผลิต 5-10 ปี ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจในคุณภาพและความทนทาน

ทีมงาน SB Sticker ใช้ฟิล์มคุณภาพนำเข้าจาก USA ที่มีการรับประกันยาวนานถึง 7-10 ปี พร้อมบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยม เพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนของคุณคุ้มค่าในระยะยาว

ความเชื่อผิดข้อที่ 5. ฟิล์มกรองแสงติดแล้วต้องปิดม่านอีกครั้งจึงจะเย็น

ความเชื่อนี้เกิดจากประสบการณ์การใช้ฟิล์มคุณภาพต่ำหรือการเลือกฟิล์มที่ไม่เหมาะสมกับความต้องการ ฟิล์มกรองแสงที่มีคุณภาพและเลือกอย่างถูกต้องสามารถลดความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องปิดม่านเพิ่ม

ฟิล์มเซรามิคหรือฟิล์มนาโนเซรามิคที่มีค่า TSER สูงสามารถปฏิเสธพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้ถึง 70-80% ซึ่งหมายความว่าความร้อนส่วนใหญ่จะถูกสะท้อนออกไปก่อนที่จะเข้าสู่ห้อง ทำให้อุณหภูมิภายในห้องลดลง 2-6 องศาเซลเซียส โดยไม่ต้องอาศัยม่านเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม การผสมผสานระหว่างฟิล์มกรองแสงและผ้าม่านจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสำหรับห้องที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงหรือห้องที่โดนแดดตลอดทั้งวัน แต่สำหรับการใช้งานทั่วไป ฟิล์มคุณภาพดีเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว

นอกจากนี้ ฟิล์มกรองแสงยังช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้อย่างเห็นได้ชัด เพราะเครื่องปรับอากาศไม่ต้องทำงานหนักเท่าเดิม ซึ่งในระยะยาวจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก

สรุป เลือกฟิล์มกรองแสงอย่างมีข้อมูล

ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้อาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการใช้ฟิล์มกรองแสงที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและประหยัดพลังงานให้กับบ้าน อาคาร หรือคอนโดของคุณ การเลือกฟิล์มที่เหมาะสมควรพิจารณาจากหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่ความเข้มหรือราคาเพียงอย่างเดียว

ทีมงาน SB Sticker พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำฟิล์มที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ โดยช่างผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ใช้ฟิล์มคุณภาพนำเข้าจาก USA พร้อมการรับประกันหลังการติดตั้งถึง 7-10 ปี และบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยม

หากคุณกำลังพิจารณาติดฟิล์มกรองแสงหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อปรึกษาได้ที่ thaifilmsb.com เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานที่ของคุณและงบประมาณที่มี เพราะการเลือกฟิล์มที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนนี้

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: ฟิล์มกรองแสงกันรังสี UV ได้จริงหรือไม่?

A: ได้จริง ฟิล์มคุณภาพดีสามารถกันรังสี UV ได้มากกว่า 99% ช่วยปกป้องเฟอร์นิเจอร์และผิวหนังจากการสึกกร่อน

Q: ติดฟิล์มแล้วประหยัดค่าไฟจริงไหม?

A: จริง การศึกษาพบว่าฟิล์มกรองแสงสามารถลดค่าไฟเครื่องปรับอากาศได้ 20-30% เพราะช่วยลดความร้อนที่เข้าสู่อาคาร

Q: ควรเลือกฟิล์มความเข้มเท่าไรดี?

A: ขึ้นอยู่กับทิศทางแสงและการใช้งาน สำหรับบ้านทั่วไป แนะนำ VLT 60-80% สำหรับห้องนอน อาจเลือก VLT 40-60% เพื่อความเป็นส่วนตัว

Q: ฟิล์มกรองแสงกับฟิล์มกันร้อนต่างกันอย่างไร?

A: จริงๆ แล้วเป็นผลิตภัณฑ์เดียวกัน เพียงแต่เรียกชื่อต่างกัน ฟิล์มกรองแสงคุณภาพดีจะมีคุณสมบัติทั้งกรองแสงและกันความร้อน