ฟิล์มกรองแสงได้กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับการลดความร้อนและประหยัดพลังงานในบ้าน อาคาร และคอนโด แต่หลายคนยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับฟิล์มชนิดนี้อยู่มาก ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อและติดตั้ง ทีมงาน SB Sticker จึงขอรวบรวม 5 ความเชื่อผิดๆ ที่พบบ่อยมาอธิบายให้ท่านเข้าใจอย่างถูกต้อง
ความเชื่อผิดข้อที่ 1. ฟิล์มยิ่งเข้ม ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ยิ่งสูง
นี่คือความเข้าใจผิดที่พบได้บ่อยที่สุด คนไทยส่วนใหญ่คิดว่าฟิล์ม 80 จะเข้มกว่าฟิล์ม 40 แต่ความจริงแล้วกลับกัน ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ที่แสดงบนฟิล์มคือค่า VLT (Visible Light Transmission) หรือค่าการส่องผ่านของแสงที่มองเห็น ซึ่งหมายความว่า:
- ฟิล์ม 80% = ให้แสงผ่านได้ 80% (สีใส)
- ฟิล์ม 40% = ให้แสงผ่านได้ 40% (สีเข้ม)
ดังนั้นฟิล์มที่มีตัวเลขสูงจะมีความโปร่งใสมากกว่า ไม่ใช่เข้มกว่าตามที่หลายคนเข้าใจ การเลือกความเข้มของฟิล์มควรพิจารณาจากทิศทางของแสง ความต้องการความเป็นส่วนตัว และความสะดวกในการใช้งานจริง
ความเชื่อผิดข้อที่ 2. ฟิล์มกรองแสงทุกชนิดกันความร้อนได้เท่ากัน

หลายคนเชื่อว่าฟิล์มกรองแสงทุกชนิดมีประสิทธิภาพในการกันความร้อนเท่ากัน ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะฟิล์มแต่ละประเภทมีเทคโนโลยีและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
- ฟิล์มดำ (Dyed Film) เป็นฟิล์มที่มีราคาประหยัดที่สุด แต่ให้ประสิทธิภาพในการกันความร้อนน้อยที่สุด เพราะทำงานโดยการดูดซับแสง
- ฟิล์มคาร์บอน (Carbon Film) กันความร้อนดีกว่าฟิล์มดำ ไม่รบกวนสัญญาณโทรศัพท์หรือวิทยุ และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า
- ฟิล์มเซรามิค (Ceramic Film) ใช้เทคโนโลยีนาโนเซรามิคที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการกันรังสีอินฟราเรด ลดความร้อนได้ถึง 60-80% และกันรังสี UV ได้มากกว่า 99% โดยที่ไม่ต้องเข้มมากก็สามารถกันความร้อนได้ดี
- ฟิล์มปรอท/ละอองโลหะ (Metallized Film) สะท้อนความร้อนได้ดี แต่อาจรบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์
ทีมงาน SB Sticker แนะนำให้พิจารณาค่า IRR (Infrared Rejection) และค่า TSER (Total Solar Energy Rejected) ประกอบการเลือกฟิล์ม เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
ความเชื่อผิดข้อที่ 3. ติดฟิล์มกรองแสงแล้วห้องจะมืด

ความเข้าใจผิดนี้ทำให้หลายคนลังเลที่จะติดฟิล์มกรองแสง โดยเฉพาะสำหรับห้องที่มีแสงธรรมชาติไม่มาก ความจริงแล้ว ฟิล์มกรองแสงสมัยใหม่โดยเฉพาะฟิล์มเซรามิคและฟิล์มที่ใช้เทคโนโลยี Nano Ceramic สามารถกันความร้อนได้ดีเยี่ยมโดยที่ไม่ต้องเข้มมาก
ตัวอย่างเช่น ฟิล์มนาโนเซรามิค 70 หรือ 80 สามารถกันความร้อนได้ถึง 70-80% แต่ยังให้แสงสว่างผ่านเข้ามาในห้องได้อย่างเพียงพอ ไม่ทำให้รู้สึกมืดหรืออึดอัด กุญแจสำคัญคือการเลือกฟิล์มที่มีค่า VLT สูง (60-80%) แต่มีค่า IRR หรือ TSER สูง ซึ่งจะช่วยให้ได้ทั้งความสว่างและความเย็น
นอกจากนี้ ฟิล์มบางชนิดยังมีการออกแบบให้ส่งผ่านแสงธรรมชาติได้ดี แต่สะท้อนรังสีอินฟราเรดที่เป็นสาเหตุของความร้อน ทำให้ห้องสว่างแต่เย็นสบาย
ความเชื่อผิดข้อที่ 4. ฟิล์มกรองแสงใช้ได้แค่ 2-3 ปีก็ต้องเปลี่ยนใหม่

หลายคนคิดว่าฟิล์มกรองแสงมีอายุการใช้งานสั้น ต้องเปลี่ยนบ่อยซึ่งไม่คุ้มค่ากับการลงทุน แต่ความจริงแล้วฟิล์มคุณภาพดีสามารถใช้งานได้นานมาก อายุการใช้งานของฟิล์มขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
- คุณภาพของฟิล์ม: ฟิล์มที่นำเข้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะจาก USA มักมีคุณภาพดีกว่าและทนทานกว่าฟิล์มราคาถูกทั่วไป ฟิล์มคุณภาพสูงสามารถใช้งานได้ 7-10 ปีหรือมากกว่า
- การติดตั้งโดยช่างมืออาชีพ: ช่างที่มีประสบการณ์จะติดฟิล์มอย่างถูกต้อง ไม่มีฟองอากาศหรือริ้วรอย ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของฟิล์ม
- การดูแลรักษา: การทำความสะอาดที่ถูกวิธีและหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรงจะช่วยให้ฟิล์มคงสภาพได้นานขึ้น
- การรับประกัน: ฟิล์มคุณภาพดีจะมีการรับประกันจากผู้ผลิต 5-10 ปี ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจในคุณภาพและความทนทาน
ทีมงาน SB Sticker ใช้ฟิล์มคุณภาพนำเข้าจาก USA ที่มีการรับประกันยาวนานถึง 7-10 ปี พร้อมบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยม เพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนของคุณคุ้มค่าในระยะยาว
ความเชื่อผิดข้อที่ 5. ฟิล์มกรองแสงติดแล้วต้องปิดม่านอีกครั้งจึงจะเย็น

ความเชื่อนี้เกิดจากประสบการณ์การใช้ฟิล์มคุณภาพต่ำหรือการเลือกฟิล์มที่ไม่เหมาะสมกับความต้องการ ฟิล์มกรองแสงที่มีคุณภาพและเลือกอย่างถูกต้องสามารถลดความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องปิดม่านเพิ่ม
ฟิล์มเซรามิคหรือฟิล์มนาโนเซรามิคที่มีค่า TSER สูงสามารถปฏิเสธพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้ถึง 70-80% ซึ่งหมายความว่าความร้อนส่วนใหญ่จะถูกสะท้อนออกไปก่อนที่จะเข้าสู่ห้อง ทำให้อุณหภูมิภายในห้องลดลง 2-6 องศาเซลเซียส โดยไม่ต้องอาศัยม่านเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม การผสมผสานระหว่างฟิล์มกรองแสงและผ้าม่านจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสำหรับห้องที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงหรือห้องที่โดนแดดตลอดทั้งวัน แต่สำหรับการใช้งานทั่วไป ฟิล์มคุณภาพดีเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว
นอกจากนี้ ฟิล์มกรองแสงยังช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้อย่างเห็นได้ชัด เพราะเครื่องปรับอากาศไม่ต้องทำงานหนักเท่าเดิม ซึ่งในระยะยาวจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก
สรุป เลือกฟิล์มกรองแสงอย่างมีข้อมูล
ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้อาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการใช้ฟิล์มกรองแสงที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและประหยัดพลังงานให้กับบ้าน อาคาร หรือคอนโดของคุณ การเลือกฟิล์มที่เหมาะสมควรพิจารณาจากหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่ความเข้มหรือราคาเพียงอย่างเดียว
ทีมงาน SB Sticker พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำฟิล์มที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ โดยช่างผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ใช้ฟิล์มคุณภาพนำเข้าจาก USA พร้อมการรับประกันหลังการติดตั้งถึง 7-10 ปี และบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยม
หากคุณกำลังพิจารณาติดฟิล์มกรองแสงหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อปรึกษาได้ที่ thaifilmsb.com เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานที่ของคุณและงบประมาณที่มี เพราะการเลือกฟิล์มที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนนี้
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: ฟิล์มกรองแสงกันรังสี UV ได้จริงหรือไม่?
A: ได้จริง ฟิล์มคุณภาพดีสามารถกันรังสี UV ได้มากกว่า 99% ช่วยปกป้องเฟอร์นิเจอร์และผิวหนังจากการสึกกร่อน
Q: ติดฟิล์มแล้วประหยัดค่าไฟจริงไหม?
A: จริง การศึกษาพบว่าฟิล์มกรองแสงสามารถลดค่าไฟเครื่องปรับอากาศได้ 20-30% เพราะช่วยลดความร้อนที่เข้าสู่อาคาร
Q: ควรเลือกฟิล์มความเข้มเท่าไรดี?
A: ขึ้นอยู่กับทิศทางแสงและการใช้งาน สำหรับบ้านทั่วไป แนะนำ VLT 60-80% สำหรับห้องนอน อาจเลือก VLT 40-60% เพื่อความเป็นส่วนตัว
Q: ฟิล์มกรองแสงกับฟิล์มกันร้อนต่างกันอย่างไร?
A: จริงๆ แล้วเป็นผลิตภัณฑ์เดียวกัน เพียงแต่เรียกชื่อต่างกัน ฟิล์มกรองแสงคุณภาพดีจะมีคุณสมบัติทั้งกรองแสงและกันความร้อน